“ สวัสดีค่ะ
บล็อกนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี
พ.ศ. 2559 วัตถุประสงค์ในการเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาก็เพื่อเป็นการให้ทุกคนทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
ไม่ว่าจะเป็น วิธีการเลือกสมาชิกผู้แทนในแต่ละพรรคว่ามีวิธีการหรือขั้นตอนอย่างไรบ้าง
ในปี 2559 นี้ ท้าชิงประธานาธิบดีที่เด่นๆก็จะมีด้วยกันอยู่ 2 คนนั่นก็คือ ตัวแทนพรรคริพับลิกัน คือนายโดนัลด์ ทรัมป์
และตัวแทนของพรรคเดโมแครต คือนางฮิลลารี คลินตัน
โดยบล็อกของฉันนี้ก็จะรวบรวมประวัติของทั้ง 2 คนไว้พอสังเขป
และคนที่ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็คือนายโดนัลด์ ทรัมป์ บล็อกของฉันนี้ก็ได้รวบรวมบทความต่างๆที่น่าสนใจในหลายๆเว็บ
เช่น นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี
เป็นต้น ดิฉันหวังว่าบล็อกนี้จะให้ความรู้หรือความเข้าใจให้แก่ผู้อ่านไม่มากก็น้อย
หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ”
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ทำเนียบขาว
ทำเนียบขาว
ทำเนียบขาว หรือ ชื่อในภาษาอังกฤษ “White House” คือบ้านพักอย่างเป็นทางการและเป็นสถานที่ทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
หลังๆได้กลายมาเป็นที่อยู่อาศัยของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทุกคนนับตั้งแต่
ประธานาธิบดี จอห์น แอดัม ทำเนียบขาวได้มีประวัติมากมาย การต่อเติม
การปรับปรุงทำเนียบเป็นต้น เมื่อแรกๆไม่ได้ชื่อทำเนียบขอว หรือ write house
อย่างปัจจุบัน ปีค.ศ.1814
ที่พักของประธานาธิบดีสหรัฐถูกลอบวางเพลิง
จึงซ่อมแซมด้วยการทาสีขาวเพื่อปิดรอยที่เกิดจากไฟไหม้และเปลี่ยนชื่อเป็น
ทำเนียบขาว ทุกวันนี้ก็เลยได้ชื่อทำเนียบขาวนั่นเอง
เ
เกร็ดความรู้อื่นๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่น่าสนใจ
เกร็ดความรู้อื่นๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่น่าสนใจ
ชาวอเมริกันในเขต Territories
ผู้ที่อาศัยอยู่ใน Territories หรือ
เขตอาณาเขตปกครองของสหรัฐฯ (หมู่เกาะอเมริกันซามัว กวม หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา
เปอร์โตริโกและหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกาจะไม่มีสิทธิในการเลือกตั้งเพราะเขตดังกล่าวไม่จัดเป็นรัฐของสหรัฐฯ
จึงพูดได้ว่าเกาะเหล่านี้ถือเป็นแห่งเดียวในจักรวาลที่ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง
นั่นเป็นเพราะแม้แต่ประชาชนสหรัฐฯ ที่อยู่ในต่างประเทศ
หรือแม้แต่ในอวกาศก็ยังสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งของตนโดยใช้ไปรษณีย์หรือจากอวกาศได้
Popular Vote vs. Electoral Vote
Popular vote คือคะแนนที่นับจากคะแนนเสียงของประชาชนจริงๆ
ไม่มีผลทางกฎหมาย แต่สามารถแสดงให้เห็นว่าความนิยมของประชาชนที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เช่น ในการเลือกตั้ง 2012 โอบามาได้รับ303 Electoral Vote และรอมนี่ได้รับ
206 Electoral Vote ซึ่งดูเหมือนจะห่างกันมาก
แต่่คะแนน Popular vote ค่อนข้างใกล้เคียง
คือ 50.4% และ 48%
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วประชาชนอีกเกือบครึ่งหนึ่งที่ไม่สนับสนุนโอบามา
ช้าง vs. ลา
ทำไมสัญลักษณ์ของพรรคการเมือง Democrat และ Republican ถึงต้องเป็นช้างกับลา? ที่มาของเรื่องนี้มาจากในสมัยที่ Andrew Jacksonลงสมัครรับเลือกตั้งโดยใช้สโลแกนว่า
Let’s the people rule ทำให้พวกนักหนังสือพิมพ์เปรียบเขาเหมือนกับลา
ซึ่ง Andrew กลับชอบฉายานี้และนำเอาสัญลักษณ์รูปลาในการหาเสียงเลือกตั้ง
ซึ่งต่อมานักหนังสือพิมพ์ชื่อว่า Thomas Nast ได้นำเอาสัญลักษณ์รูปลามาเป็นสัญลักษณ์ของ
พรรค Democrat ส่วนสัญลักษณ์รูปช้างเกิดมาจากการที่นาย Thomas วาดการ์ตูนล้อเลียน
โดยใช้ช้างเป็นสัญลักษณ์ของพรรค Republican ซึ่งก็ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของพรรคในเวลาต่อมา
อธิบายระบบการเลือกตั้งของสหรัฐฯ
อธิบายระบบการเลือกตั้งของสหรัฐฯ
ทุกๆ 4 ปี ประชาชนชาวอเมริกามีหน้าที่ที่สำคัญในการออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไปของประเทศสหรัฐอเมริกา
แต่ระบบการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกานั้นซับซ้อนกว่าของประเทศอื่นๆ
ที่ส่วนใหญ่ประชากรทุกคนของประเทศสามารถออกเสียงเลือกผู้สมัครที่ต้องการเพื่อเป็นประธานาธิบดี
หรือนายกรัฐมนตรีได้โดยตรง แต่การเลือกตั้งประธานธิบดีของ สหรัฐฯ เป็นการออกเสียงทางอ้อม
โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้
1.
เริ่มต้นจากในแต่ละรัฐจะมีการจัดการเลือกตั้งย่อยเพื่อหาตัวแทนของพรรคเพื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
2.
ในแต่ละรัฐจะมีคณะผู้เลือกตั้ง หรือ Electoral
College ซึ่งจะเป็นตัวแทนในการออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีแทนประชาชนในรัฐนั้นๆ
โดยจำนวนคณะผู้เลือกตั้งของแต่ละรัฐจะมาจากตัวแทนตามจำนวนของเขตการปกของ (district) ของแต่ละรัฐ และ คณะวุฒิสภาอีก 2 คน เช่น
มลรัฐแคลิฟอร์เนียมี 53 เขตการปกครอง คณะผู้เลือกตั้งของมลรัฐแคลิฟอร์เนียจึงมี 55
คน (53 + 2) คณะผู้เลือกตั้งจากทุกรัฐรวมทั้งสิ้น 538 คน
(มาจากตัวแทนตามจำนวนเขตการปกครอง 438 คน + วุฒิสภา 100 คน)
3.
เมื่อมาถึงวันอังคารแรกหลังจากวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายนของทุกๆ 4 ปี
ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งก็จะไปที่ศูนย์เลือกตั้งเพื่อเลือกผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีที่ตนชอบ
เช่น ในการเลือกตั้งในวันที่ 6 พ.ย. 2555 ที่ผ่านมานี้ ประชาชนสามารถเลือก บารัค
โอบามา มิตต์ รอมนีย์
และผู้สมัครจากพรรคเล็กอื่นๆ อีก 2 ท่าน
4.
การออกเสียงของประชาชนเป็นการแสดงเจตนาแก่คณะผู้เลือกตั้งในรัฐของตนว่าอยากจะให้คณะผู้เลือกตั้งออกเสียงเลือกตั้งไปในทิศทางใด
ในหนึ่งรัฐ
ไม่ว่าผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้รับเสียงข้างมากจะได้เสียงมากกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ
มากน้อยแค่ไหน เสียงของคณะผู้เลือกตั้งในรัฐนั้นๆ
ทั้งหมดก็จะไปที่ผู้ลงสมัครผู้นั้น ดังนั้น
รัฐที่มีจำนวนประชากรหรือเขตการปกครองเยอะกว่า
ก็จะมีมีจำนวนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งมากกว่า ทำให้รัฐต่างๆ
มีความสำคัญต่อผลการเลือกตั้งมากกว่า
5.
เป้าหมายของผู้ลงสมัครในวันเลือกตั้งคือ ผู้สมัครจะต้องได้เสียงจากคณะเลือกตั้งให้ได้มากกว่าครึ่งหนึ่ง(ของ
538 เสียง) หรือ 270 เสียง หากผู้สมัครคนใดได้ 270 เสียงก่อนผู้นั้นก็เป็นผู้ชนะ
ทั้งนี้ผลจากการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน
เป็นการคำนวนจากการคำนวนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งของแต่ละรัฐที่จะไปยังผู้สมัครคนนั้นๆ ประชาชนสามารถทราบผลอย่างไม่เป็นทางการหลังจากการเปิดการเลือกตั้งประมาณ
12 ชม. หรือเมื่อมลรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นรัฐสุดท้ายนับคะแนนเสร็จสิ้น
6.
ขั้นตอนต่อไปเป็นการเลือกตั้งของคณะผู้เลือกตั้งและเป็นการออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ
หรือ National Convention โดยคณะผู้เลือกตั้งจะมารวมตัวกัน
เพื่อออกเสียงเลือกผู้สมัครที่ประชาชนข้างมากในรัฐของตนเลือกไว้
แม้ว่าในประวัติศาสตร์
ยังไม่มีการเลือกตั้งครั้งใดที่ผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะพลิกผันจากผลการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนแต่ก็ควรระลึกไว้เสมอว่า
คณะผู้เลือกตั้งมีสิทธิเสรีในเลือกผู้สมัครซึ่งอาจจะเป็นคนเดียวกันกับที่ประชาชนต้องการหรือไม่ก็ได้
7. และวันที่ 20 มกราคม 2556 หรือ Inauguration
Day เป็นวันที่ประธานาธิบดีขึ้นรับตำแหน่งและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ
เปิดสุนทรพจน์แรกของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา
หลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ
คนที่ 45
ออกมาอย่างเป็นทางการว่า “นายโดนัลด์ ทรัมป์”
เป็นผู้ได้รับตำแหน่งไปครอง
โดยนายทรัมป์จะกล่าวแถลงการณ์แรกในฐานะประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ณ “ทรัมป์ ทาวเวอร์” สถานที่ประกาศชัยชนะของพรรครีพลับลิกันกลางนครนิวยอร์ค
ท่ามกลางประชาชนมากมายที่สนับสนุนเขา
จากนั้น นายเพนซ์ ได้แนะนำประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาแก่ฝูงชน นายทรัมป์ปรากฏตัวบนเวทีพร้อมภรรยาและลูกๆ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีจากประชาชนผู้สนับสนุน นายทรัมป์จับมือแสดงความยินดีกับนายเพนซ์และครอบครัวเพนซ์ ก่อนกล่าวแถลงการณ์แรกในฐานะประธานาธิบดี
“และในเวลานี้ ไม่ว่าพรรคไหน ก็เป็นเวลาที่เราทั้งประเทศจะมุ่งหน้าไปพร้อมๆ กันในฐานะอเมริกา การที่ผมได้รับตำแหน่งนี้มันสำคัญกับผมอย่างยิ่ง ทั้งนี้ผมได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำมากมายจากทุกคนเพื่อที่จะสร้างประเทศให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว”
“ซึ่งตลอดเวลาการหาเสียงที่ผ่านมาผมไม่เคยมองว่าเป็นการหาเสียง แต่มองว่ามันคือการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ และจากนี้ผมจะดูแลประชาชนของประเทศให้ดี เราจะทำงานร่วมกัน สร้างชาติ สร้างความฝันของชาวอเมริกัน (American Dream) ให้กลับคืนมา และตอนนี้ผมอยากจะทำเพื่อประเทศจริงๆ เรามีความสามารถที่จะทำได้ และแน่นอนว่าจะไม่มีใครถูกลืมอีกต่อไป เราจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ และสุดท้าย เราจะดูแลเหล่าทหารผ่านศึกเพื่อให้เขารู้ว่าพวกเขาสำคัญกับประเทศเรามากแค่ไหน”
“ทั้งนี้เรามีแผนการทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างยิ่ง ซึ่งจะทำให้ประเทศเติบโตขึ้นเป็นสองเท่า และแม้เราจะเอาอเมริกาเป็นหนึ่ง แต่เราจะยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อต่างประเทศ และจะดีลกับทุกประเทศอย่างยุติธรรม โดยไม่คุกคาม ไม่มีความฝันอะไรใหญ่เกินไปหรอกครับ”
“ผมอยากขอบคุณทุกคนที่ช่วยผมสร้างประวัติศาสตร์นี้ ขอบคุณพ่อแม่ ครอบครัว ภรรยาผม เมลานี และลูกๆ เพื่อนร่วมงาน ทีมของผม...การเมืองเป็นสิ่งที่ทั้งน่ารังเกียจและหนักหนา แต่ผมได้รับการสนับสนุนที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง”
“การเป็นประธานาธิบดีเป็นสิ่งที่ผมภูมิใจอย่างยิ่งที่จะทำผมดีใจที่ได้เป็นประธานาธิบดีของคุณ...และอาจจะได้เป็นถึง 8 ปี (ผู้คนในฮอลล์ส่งเสียงเชียร์) เราจะเริ่มงานทันทีเพื่อประชาชนของเรา และคุณจะภูมิใจประธานาธิบดีของคุณ ภูมิใจในประเทศของคุณอีกครั้ง ผมรักประเทศนี้ ขอบคุณอย่างยิ่งครับ”
ที่มา: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ , www.prachachat.net
อะไร (ที่น่า) จะเกิดขึ้น ถ้า "ทรัมป์" เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของอเมริกา
เพื่อไขข้อสงสัยนี้ เลยรวบรวม 5 เรื่องที่น่าจะเกิดขึ้น หากคะแนนเสียงส่วนมากของทุกรัฐเทไปที่เจ้าของประโยคที่ว่า
"Today we make America great again!"
1.ผู้อพยพผิดกฎหมายและมีประวัติอาชญากรรมจะถูกส่งกลับประเทศ
นโยบายของทรัมป์ข้อนี้ฟังดูเหมือนจะสมเหตุสมผล
เพราะคนที่ทำผิดกฎหมายและเคยก่ออาชญากรรมก็ควรจะได้รับบทลงโทษตามเหตุปัจจัย
โดยมีการประเมินว่าตัวเลขของผู้อพยพที่เข้าข่ายนี้มีอยู่ประมาณ 168,000 คนทั่วประเทศ
แต่ความไม่สมเหตุสมผลของนโยบายนี้อยู่ตรงที่ตัวเลขในการประเมินของทรัมป์เองนั้นสูงถึง
2
ล้านคน เหตุเพราะคำว่า ‘อาชญากรรม' ของทรัมป์นั้น รวมเอาความผิดลหุโทษอย่างเช่นการขับรถเกินความเร็วที่กำหนดเอาไว้ด้วย
2.กำแพงกั้นชายแดนระหว่างเม็กซิโกและอเมริกาที่มีช่องโหว่
75 ไมล์
ถึงทรัมป์จะบอกว่า
กำแพงที่จะสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายบริเวณชายแดนระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ
จะเป็นกำแพงที่ออกแบบอย่างสวยงาม แต่ดูเหมือนว่าชาวรัฐอริโซนา
ซึ่งเป็นรัฐที่มีพรมแดนติดกับเม็กซิโกจำนวนไม่น้อยจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้
ไม่ต้องพูดถึงคนเม็กซิกันเองที่ไม่พอใจกับนโยบายนี้แน่ๆ
เพราะทรัมป์ประกาศชัดเจนว่าฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการสร้างกำแพงนี้ก็คือเม็กซิโก
ไม่ใช่สหรัฐฯ
นอกจากนี้
ยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่า กำแพงอันสวยงามของทรัมป์อาจจะมีช่องโหว่ยาวถึง 75 ไมล์
เพราะกลุ่มชาวพื้นเมืองอเมริกันที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนนั้นยืนยันเสียงแข็งว่าจะต่อต้านการสร้างกำแพงของทรัมป์อย่างเต็มกำลัง
3.อเมริกาต้องมาก่อน
ทรัมป์เคยประกาศไว้ตั้งแต่เดือน ก.ค.
ที่ผ่านมาแล้วว่า ถ้าเขาชนะการเลือกตั้ง
สัญญาที่เคยปกป้องประเทศในกลุ่มสมาชิกนาโต้ในกรณีที่ประเทศเหล่านี้โดนโจมตีก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป
และจะช่วยเหลือในกรณีที่ประเทศสมาชิกทำตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับสหรัฐฯ เท่านั้น
ซึ่งเชื่อว่าคงไม่ใช่นโยบายที่ประเทศในกลุ่มนาโต้จะยิ้มรับอย่างแน่นอน นอกจากนี้
ยังมีเรื่องที่เขาบอกว่าจะถอนกำลังทหารออกจากยุโรปและเอเชียถ้าประเทศพันธมิตรไม่ให้ความสำคัญกับการปกป้องอเมริกา
4.อเมริกาจะรวยขึ้น
แต่โลกจะร้อนต่อไป
มีแนวโน้มว่าทรัมป์อาจยกเลิกการจ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับ
UN
เพื่อสนับสนุนโครงการเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และนำเงินส่วนนั้นมาใช้ในการพัฒนาโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศแทน
ทั้งยังมีแผนที่จะยกเลิกกฎเกณฑ์และข้อบังคับบางอย่างเพื่อทำให้อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของอเมริกาขยายตัวได้มากขึ้น
ซึ่งเป็นสิ่งที่นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมต่างหวาดกลัวกันอย่างมาก
5.เงินบาทของเราจะแลกเงินดอลลาร์ได้เพิ่มขึ้น
นักลงทุนคาดการณ์กันว่า
ถ้าทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลง ตรงกันข้ามกับกรณีที่คลินตันชนะ
เพราะในสายตาของนักลงทุนส่วนใหญ่แล้ว ทรัมป์เป็นผู้นำที่สุดโต่ง ขาดประสบการณ์
และคาดเดาทิศทางในการตัดสินใจได้ยาก
ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อการลงทุนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอเมริกาอย่างแน่นอน
และเรื่องค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงนี้เกิดขึ้นแล้วทั้งที่ผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการยังไม่ออกมา
เพราะค่าการซื้อ-ขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ล่าสุดตอนนี้ ลดลง 3.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินเยน โดยตกลงจาก 1 ดอลลาร์ต่อ
105.480 เยน ในตอนปิดตลาดช่วงเย็นวันที่ 8 พ.ย. เหลือ 101.890 เยน
หลังปิดตลาดช่วงเช้าของวันที่ 9 พ.ย.ที่มา: http://news.sanook.com/2098630/
นโยบายสุดอึ้ง! โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่
นายโดนัลด์ ทรัมป์ กับการก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกาคนที่
45
สร้างความแปลกใจและหวั่นใจให้กับชาวโลกไปพร้อมๆ กัน
เนื่องจากการขึ้นเป็นผู้นำของเขา แม้จะเป็นสิ่งที่ท้าทายและแปลกใหม่
แต่สังคมก็ยังมีความไม่มั่นใจในตัวเขาอยู่สูงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการบริหารและทิศทางทางการเมืองที่ต่างวิเคราะห์ว่า..ไร้ประสบการณ์
ที่ผ่านมา นายทรัมป์
มีถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองของเขาเสมอ
เนื่องจากว่าเขาคือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในแผ่นดินสหรัฐอเมริกา
เขาไม่เคยมีประสบการณ์ในเส้นทางการเมืองมาก่อน ไม่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
หรือ สมาชิกวุฒิสภา แต่ขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้แบบก้าวกระโดด
นโยบายบริหารและการเมืองแบบสุดโต่งของ
โดนัลด์ ทรัมป์ มักเป็นที่สนใจทุกครั้งและมักตกเป็นข่าว อื้อฉาวบ่อยครั้ง
โดยเฉพาะนโยบายละเอียดอ่อนเกี่ยวกับผู้อพยพ นายทรัมป์
เคยประกาศสร้างกำแพงกั้นพรมแดงระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก
เพื่อตัดช่องทางของผู้ลักลอบเข้าเมือง
อีกทั้งยังมีแผนจะให้เม็กซิโกต้องชำระจ่ายเงินทั้งหมด
เนื่องจากเชื่อว่ารัฐบาลเม็กซิโกรู้เห็นเป็นใจให้พลเมืองตัวเองแอบเข้ามาหากินในแผ่นดินสหรัฐ
นายทรัมป์ ยังประกาศกร้าวว่า หากพบผู้อพยพก่อคดีในสหรัฐฯ
จะบังคับให้ส่งตัวกลับประเทศทันที และเพิ่มบทลงโทษเข้มงวดสำหรับผู้ที่อยู่สหรัฐฯ
เกิดกำหนดในวีซ่า พร้อมกับมีแนวคิดไม่ให้ชาวมุสลิมเข้าสหรัฐฯ ด้วย
เพราะนโยบายนี้เอง ทำให้ นายทรัมป์
ต่างได้ใจชาวอเมริกันผิวขาวส่วนใหญ่
ซึ่งสอดคล้องกับโพลสำรวจผู้ใช้สิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งที่พบว่า เกินกว่าร้อยละ 52 ต่างลงคะแนนให้ นายทรัมป์ แต่ขณะที่ชาวอเมริกันเชื้อสายลาติน หรือ
ฮิสแปนิก ที่ไม่พอใจกับนโยบายนี้ ต่างเทคะแนนให้ นางคลินตัน กว่าร้อยละ 70
ขณะที่นโยบายบริหารเศรษฐกิจของนายทรัมป์
ที่เคยลั่นวาจาอย่างหนักแน่น ทำให้สื่อวิเคราะห์ว่า สหรัฐฯ
อาจจะกลับไปเหมือนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่บริหารโดดเดี่ยว
ไม่พึ่งพาใคร นำการลงทุนจากต่างประเทศกลับมาประเทศตัวเอง เพื่อสร้างงานให้คนในประเทศ
ทั้งนี้ นายทรัมป์
ยังประกาศลดภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 15% จากเดิม 35% กลายเป็นนโยบายที่ทำให้ได้ใจผู้คน แต่ความเสี่ยงหลักๆ
เรื่องการตัดขาดทางการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกีดกันสินค้าจากประเทศจีน
เป็นสิ่งที่เด็ดเดี่ยวของเขา เนื่องจากอาจจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เนื่องจากยังต้องพึ่งพากำลังการผลิตจากจีนอยู่มาก
หากมองถึงนโยบายบริหารภายในประเทศของนายทรัมป์
เขาตั้งใจจะลดสถิติอาชญากรรมในประเทศให้ได้ หลังจากระยะหลังๆ
มักเกิดกรณีความขัดแย้งระหว่างตำรวจกับคนผิวสีหลายครั้ง พร้อมฟื้นเอาบทลงโทษการประหารชีวิตผู้ต้องหากลับมา
ส่วนปัญหาอัตราการว่างงานและสวัสดิการของรัฐบาลต่างๆ ที่จะยกเลิกกิจกรรมต่างๆ
ที่เกี่ยวกับนโยบายเก่าของ บารัค โอบามา
โดยเฉพาะประกันสุขภาพที่เป็นปัญหาเรื้อรังที่จะเปลี่ยนให้ประชาชนจ่ายเอง รักษาเอง
ปิดท้ายด้วยนโยบายเรื่องกลุ่มก่อการร้าย
นายทรัมป์ วางแผนใช้วิธีเจรจาและแทรกแซงเข้าปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย
เนื่องจากเขามองเห็นว่า ประเทศลิเบีย ล่มสลายเพราะการไม่เข้าไปแทรกแซงช่วยเหลือ
เขาต้องการจะเข้าไปเจรจากับประเทศอิหร่าน ทำข้อตกลงเรื่องนิวเคลียร์
และร่วมมือกันถล่มกลุ่มไอซิสให้หมดไป รวมทั้งจะไม่ให้สหรัฐฯ ร่วมปฏิบัตินาโต
ถ้าประเทศในสมาชิกไม่ช่วยลงขันด้วย
ที่มา: http://news.sanook.com/2098610/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)