ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมาเมื่อวันอังคาร
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลลัพธ์ช็อกโลก เนื่องจากตัวเต็งอย่างนางฮิลลารี คลินตัน (Hillary
Clinton) ที่เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต
และเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศรวมทั้งสตรีหมายเลขหนึ่ง
ประสบความพ่ายแพ้ให้กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน
ผู้เป็นมหาเศรษฐีที่ใช้วิธีการหาเสียงและนโยบายในแบบถึงลูกถึงคน
เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ฉีกจารีตทางการเมืองที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
ชัยชนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์
เป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย สำนักโพลและนักวิเคราะห์หลายๆ
ท่านทำนายไว้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นของนางฮิลลารีได้ไม่ยากนัก
แต่ผลลัพธ์นั้นเป็นไปอย่างตรงกันข้าม มีหลายๆ
เหตุผลที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้พลิกล็อก
และเหตุผลนี้น่าจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับคนเมืองและฐานอำนาจเดิมในประเทศไทยเป็นอย่างดี
1. กลุ่มคนที่อยู่ในเขตเมืองขาดปฏิสัมพันธ์และความเข้าใจชีวิตของคนในชนบทอย่างสิ้นเชิง
เป็นที่ค่อนข้างแน่ชัดว่า
เขตเมืองใหญ่ที่มีประชาชนที่มีการศึกษา มีงาน
มีฐานะที่ดีอยู่มากนั้นโหวตให้กับนางฮิลลารี แต่ในชนบทผลกลับตรงกับข้าม ซึ่งเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าชาวเมืองนั้นไม่มีความเข้าใจถึงความต้องการของคนในต่างจังหวัดผลเลือกตั้งแบบนี้อันที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่แปลก
แต่ที่แปลกคือความแตกต่างของตัวเลือกระหว่างเขตเมืองและชนบทมีความชัดเจนและระยะห่างมากในครั้งนี้
ตัวอย่างเช่น ในรัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นรัฐสำคัญ
เมืองไมอามีนั้นเป็นของนางฮิลลารีอย่างท่วมท้น
คะแนนที่เธอได้นั้นมากกว่าการเลือกตั้งในปี 2012 ที่นายโอบามาชนะนายมิตต์
รอมนีย์ เสียอีก
แต่นั่นก็ไม่เพียงพอเพราะนายทรัมป์ก็เหมาเสียงชาวชนบทในรัฐฟลอริดาแบบท่วมท้นเช่นกัน
ผลลัพธ์ของการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะทำให้คนเมืองสำนึกได้ว่า
สิ่งที่ตนคิดและชีวิตความเป็นอยู่ของตนนั้นเป็นไปอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ชาวเมืองส่วนใหญ่มั่นใจว่านางฮิลลารีจะชนะแน่นอน
ไม่มีทางที่คนในประเทศของเขาจะเลือกคนอย่างทรัมป์ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
2. ผู้สนับสนุนนายทรัมป์เป็นเสียงเงียบที่ไม่อยากเผยตัว
ไม่มีใครกล้ายอมรับและบอกผลกับโพลต่างๆ เพราะกลัวถูกมองว่าประหลาด
หากเราดูสื่อใหญ่ๆ ของอเมริกา
เราจะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่านายทรัมป์นั้นจะถูกมองว่าเป็นตัวตลกตลอด
สิ่งที่เขาพูดจะโดนล้อผ่านสื่อต่างๆ ไม่เคยมีสื่อยักษ์ใหญ่ไหนที่ให้ภาษีเขาในการลงแข่งขัน ฝ่ายผู้สนับสนุนนางฮิลลารีก็จะคิดว่าพวกที่สนับสนุนทรัมป์เป็นผู้ที่ “โง่” “ประหลาด” “ไร้การศึกษา”
“ไม่เข้าใจค่านิยมอเมริกัน” อะไรต่างๆ นานา
ในสังคมเมือง สังคมคนที่มีการศึกษาสูง ในรั้วมหาลัยต่างๆ
ที่ส่วนใหญ่สนับสนุนฮิลลารี การเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์ในหลายๆ
พื้นที่จึงถือว่าเป็นเรื่องน่าอายเลยเสียด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้
มีผู้ให้ความเห็นว่าโพลต่างๆ นั้นจริงๆ
แล้วไม่สามารถหยั่งเสียงแล้วเจอผู้สนับสนุนนายทรัมป์ได้เพียงพอที่จะคาดเดาผลลัพธ์ของการเลือกตั้งได้ถูกต้อง
ซึ่งทำให้ทีมของนางฮิลลารีนั้นวางแผนผิดพลาด
3. สื่อออนไลน์ทำให้ผู้คนทั่วไปอยู่ในกะลา
ได้รับข้อมูลจากฝ่ายที่ตนสนับสนุนอยู่แล้ว
นักวิเคราะห์หลายท่านให้ความเห็นว่า
สื่อออนไลน์ อย่างเช่น Facebook
นั้นทำให้ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนได้รับรู้แต่ความคิดเห็นที่ตัวเองเห็นด้วยอยู่แล้ว
ขั้นตอนของโปรแกรมที่ถูกตั้งไว้ (algorithm) ทำให้สิ่งที่เด้งขึ้นมาให้เห็นนั้นเป็นข้อความคิดเห็นในแบบเดียวกับที่ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนท่านนั้นเคยกด
Like กด Share หรือเป็นโพสต์ต่างๆจากเพื่อนคนเดิมๆ
ที่เขาโต้ตอบด้วยเป็นประจำ การเสพสื่อจากคนรอบข้างออนไลน์แบบนี้ทำให้เกิดมโนคติว่าฝ่ายที่ตนเองชื่นชอบอยู่แล้วนั้นมีผู้สนับสนุนเต็มไปหมด
(ภาษาอังกฤษเรียกว่า echo chamber หรือ bubble) ประกอบกับสื่อใหญ่ๆ ก็สนับสนุนนางฮิลลารีกันทั้งนั้น
ทำให้เกิดภาพลวงตาว่าพวกเขาน่าจะชนะการเลือกตั้งได้ไม่ยาก
4. “ความยโสโอหัง”
ของฝ่ายอำนาจเก่าโดนลงโทษ
ฝ่ายอำนาจเก่าในที่นี้หมายถึงชนชั้นผู้นำทางการเมืองของพรรคเดโมแครตของนางฮิลลารี
พวกเขาถูกมองว่ามีความยโสโอหังเป็นอย่างมาก จากผู้ที่สนันสนุนพรรครีพับลิกัน
ก่อนการเลือกตั้ง
ไม่เป็นเรื่องที่แปลกนักหากจะมีนักวิเคราะห์ที่เชียร์นางฮิลลารีหยอกล้อกันว่า
พรรครีพับลิกันนั้น “จบแล้ว” “ไม่ควรมีอยู่แล้ว” “ไม่รู้มีไปทำไม”
ฯลฯ
ความประมาทนี้เกิดจากความมั่นใจเกินไปของพรรคเดโมแครต
และนางฮิลลารี เธอมีวอลล์สตรีทหนุนหลัง สามารถระดมทุนได้มากว่านายทรัมป์ถึงกว่า 13,000 ล้านบาท มีทั้งอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน
และประธานาธิบดีโอบามาช่วยเธอหาเสียง เครื่องจักรและเครือข่ายของพรรคเดโมแครตทำงานช่วยเหลือเธอ
ความพร้อมเหล่านี้ บวกกับประสบการณ์และชื่อเสียงของเธอ
ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเธอจะชนะ แต่ด้วยเพราะสิ่งเหล่านี้เช่นกัน ทำให้นายทรัมป์ในสายตาของผู้สนับสนุนหรือผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจดูเหมือนเป็นผู้ถูกรังแก
ไม่มีอดีตประธานาธิบดีคนไหนสนับสนุนเขา
ผู้นำในพรรครีพับลิกันหลายคนก็ไม่สนับนุนนายทรัมป์
ทั้งๆที่เขาอยากจะทำลายขั้วอำนาจเก่าที่ทำให้ประชาชนกลุ่มใหญ่รู้สึกถูกเอาเปรียบมานาน
5. ตัวเลือกที่ผิดตั้งแต่ต้น
นางฮิลลารีมีจุดอ่อนมากมาย
การที่เธอมีประสบการณ์มากในทางการเมือง
ทำให้เธอถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสังคมต่างๆ ที่ประชาชนในชนบทกำลังเผชิญ
และผู้คนในเมืองใหญ่ไม่มีทางเข้าใจพวกเขาได้
เธอจึงไม่ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับการเลือกตั้งครั้งนี้สำหรับคนกลุ่มใหญ่
นอกเหนือจากนั้น
เธอยังมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ เช่น เรื่องการที่เธอใช้อีเมลส่วนตัวของเธอแทนที่จะใช้อีเมลทางการในการติดต่องานในขณะที่เธอเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ
และเรื่ององค์กรการกุศลของสามีของเธอถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงิน
สองเรื่องนี้เป็นปัจจัยใหญ่ที่ทำให้ความน่าเชื่อถือของเธอลดลงจนเป็นปัญหา
และนายทรัมป์เองก็มองเห็นจุดอ่อนนี้
และใช้มันเล่นงานนางฮิลลารีในระหว่างการหาเสียง
มีตัวเลือกของพรรคเดโมแครตหลายๆ
คนที่โดนมองข้าม หนึ่งในนั้นคือนายเบอร์นี แซนเดอร์ส (Bernie
Sanders) ซึ่งต้องการทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นรัฐสวัสดิการมากขึ้น
นายเบอร์นีไม่มีข้อครหาเหมือนนางฮิลลารี เขาต่อต้านบริษัทยักษ์ใหญ่
ต่อต้านวอลล์สตรีท
แต่เครื่องจักรทางการเมืองของพรรคเดโมแครตก็เทเสียงสนับสนุนให้กับนางฮิลลารีในการเลือกตั้งภายในของพรรค
มีข้อกล่าวหาว่าทางผู้นำและคนทำงานในพรรคเดโมแครตมีความลำเอียง
พยายามทำให้นางฮิลลารีได้เปรียบนายเบอร์นีในหลายๆทาง
6.
ไม่มีความเอาใจใส่ฐานเสียงเดิม
นางฮิลลารีไม่สามารถรักษาฐานเสียงเดิมของนายโอบามาไว้ได้
มีในหลายพื้นที่และคนหลายกลุ่มที่นายโอบามาสามารถเรียกเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้งปี
2012
แต่ในปีนี้นางฮิลลารีไม่สามารถรักษาฐานเสียงนั้นไว้ได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดและเป็นเหตุผลหลักของความปราชัยคือ
ในแถบรัสต์เบลต์ (Rust Belt) ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา
ที่มีรัฐวิสคอนซิน รัฐมิชิแกน รัฐโอไฮโอ และรัฐเพนซิลเวเนีย
ซึ่งเคยเทคะแนนเสียงให้โอบามานั้น กลับมาสนับสนุนนายทรัมป์ในการเลือกตั้งครั้งนี้
รัสต์เบลต์เป็นฐานผลิตรถยนต์
มีเหมืองแร่ถ่านหินและเขตอุตสาหกรรมหนักอื่นๆของอเมริกา
แรงงานในแถบนี้ชอบทรัมป์เพราะเขาเป็นนักธุรกิจ
เอาจริงเรื่องการจัดการกับคนหลบหนีเข้าเมือง
เขาจะเอาจริงเรื่องการต่อรองเจรจาข้อตกลงการค้าต่างๆ เพื่อทำให้อเมริกาได้เปรียบ
และรักษางานสำหรับแรงงานเหล่านี้ไว้ในประเทศ
คนกลุ่มนี้ปกติแล้วคือฐานเสียงของพรรคเดโมแครตที่ต้องการสวัสดิการสังคมต่างๆ
โอบามาทำได้ดีกับคนกลุ่มนี้
แต่นางฮิลลารีไม่ได้ให้ความสำคัญเพราะทางทีมงานของเธอมีความมั่นใจว่าฐานเสียงตรงนี้เป็นของพรรคเดโมแครต
เธอไม่เคยไปเยือนรัฐวิสคอนซินหลังได้รับเป็นตัวเลือกของพรรคเดโมแครต
และไปเยือนเมืองดีทรอยต์ที่เป็นแหล่งผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯในรัฐมิชิแกนเพียงวันศุกร์ที่ผ่านมาก่อนการเลือกตั้งเท่านั้น
7. มีคนที่รู้สึกว่าสิทธิและความคิดเห็นของตนถูกละเลยมากพอ
กลุ่มคนในแถบรัสต์เบลต์ ผู้ใช้แรงงาน
คนในเขตชนบท และคนที่มีอายุสูง มีความรู้สึกถูกเอาเปรียบจากโลกโลกาภิวัตน์
พวกเขาไม่สามารถปรับตัวกับโลกยุคดิจิทัล
หลายคนตกงานเพราะงานถูกส่งไปให้โรงงานในต่างประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า
ผู้คนเหล่านี้เจ็บปวด รู้สึกว่าสิทธิและความคิดเห็นของตนถูกมองข้าม
โดนเอาเปรียบจากผู้กุมอำนาจการเมืองในเมืองหลวง และอำนาจเศรษฐกิจในเมืองใหญ่
ซึ่งส่วนใหญ่จะให้การสนับสนุนนางฮิลลารีแบบไม่ตั้งคำถามด้วยซ้ำ
ฐานเสียงตรงนี้เป็นกลุ่มคนที่นายเบอร์นีมองออก
และหลายคนพร้อมสนับสนุนนายเบอร์นีเพราะนโยบายรัฐสวัสดิการของเขา
แต่ในเมื่อพรรคเดโมแครตให้นางฮิลลารีเป็นตัวเลือก ซึ่งเธอมีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ
เสียงเหล่านี้จำนวนหนึ่งจึงเหวี่ยงไปให้กับฝั่งตรงข้ามคือนายทรัมป์ที่พยายามเจาะจงหาเสียงกับคนกลุ่มนี้
และมันก็เป็นจำนวนที่มากพอจะทำให้นายทรัมป์ได้รับชัยชนะ
8. กลุ่มผู้หญิง
แอฟริกันอเมริกัน และชาวอเมริกาใต้ ไม่ออกมาใช้เสียงมากพอเพื่อสนับสนุนนางฮิลลารี
นางฮิลลารีหวังไว้ว่าเธอจะสามารถพึ่งฐานเสียงที่ถูกทอดทิ้งจากชนชั้นนำได้
แต่เธอกลับทำได้ไม่ดีและแย่กว่านายโอบามาในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วเสียอีก
ผู้หญิงที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีสนับสนุนนางฮิลลารี 51% แต่สนับสนุนนายทรัมป์ถึง 45% ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนเสียงที่นายทรัมป์ดึงไปจากนางฮิลลารีได้เยอะมาก
ทางพรรคเดโมแครตหวังไว้ว่าจะได้มากกว่านี้อย่างแน่นอนเพราะการพูดดูถูกเสียดสีผู้หญิงของนายโดนัลด์
ทรัมป์ ไม่น่าจะทำให้เรียกคะแนนเสียงได้ แต่ความจริงก็เป็นไปอย่างตรงกันข้าม
กลุ่มชาวแอฟริกันก็เช่นกัน
พวกเขาเทคะแนนเสียงทั้งหมด 88% ให้นางฮิลลารี แต่ในปี 2012
กลุ่มนี้โหวตให้โอบามาถึง 93% ส่วนกลุ่มชาวอเมริกาใต้
(ลาติโน) ที่นายทรัมป์ดูถูกเสียดสีมาตลอดนั้นโหวตให้กับนายทรัมป์ถึง 29% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่เหนือความคาดหมาย ตัวเลขต่างๆ
เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความสนใจเรื่องเพศ เรื่องสีผิว เรื่องเชื้อชาติ
น้อยกว่าปัญหาปากท้อง ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม
และปัญหาความน่าเชื่อถือของนางฮิลลารี ทำให้นางฮิลลารีเป็นตัวเลือกที่ไม่ตื่นเต้น
และส่งผลให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งโดยเฉพาะชนกลุ่มน้อยและผู้หญิงออกมาใช้เสียงกันน้อยกว่าจำนวนที่พรรคเดโมแครตและนางฮิลลารีหวังไว้
และถ้าออกมา พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ได้สนับสนุนนางฮิลลารีในจำนวนที่คาดการณ์ไว้
ข้อผิดพลาดทั้งหมดที่กล่าวมาของนางฮิลลารีและพรรคเดโมแครตถ้าหากมองหลังการเลือกตั้งแล้วจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักแต่นักวิเคราะห์
นักวางแผน และทีมเลือกตั้งของนางฮิลลารีคาดการณ์ไว้ผิดหมด จึงทำให้เราเห็นผลของการเลือกตั้งแบบช็อกโลกเช่นนี้
การเปลี่ยนแปลงทางภาคสังคม
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจการรู้สึกถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีโอกาสมากกว่าเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
อาจจะเรียกได้ว่าประเทศไทยเราเองเจอปัญหานี้มาก่อนสหรัฐอเมริกาเสียอีก
และยังเป็นปัญหาเพิ่มขึ้นทุกวัน มันเป็นปัญหาที่ระบบทุนนิยมทำให้คนที่มีโอกาสทางการศึกษา
ทางการเงิน
ทางสังคมเดินหน้าได้เร็วกว่าคนที่ด้อยโอกาสและผู้โชคดีเหล่านี้มักจะหลงลืมหน้าที่ของตนเอง
เราเอาตัวรอดในสังคมเมืองสังคมชั้นสูง
สังคมที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายท่ามกลางปัญหาต่างๆที่เราปิดตาและทำเป็นมองไม่เห็นเราทุกคนที่ถือว่าตนเองเป็นผู้โชคดีเหล่านี้มีหน้าที่ที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับคนที่มีโอกาสน้อยกว่าคนที่อยู่ต่างจังหวัด
คนที่มีฐานะน้อยกว่า
คนที่มีการศึกษาด้อยกว่าและคนที่มีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างจากเรา
เราจะไม่สามารถเดินหนีปัญหาของคนเหล่านี้ และเอาตัวรอดอย่างเดียวดายได้
ที่มา: ไทยพับลิก้า, www.thaipublica.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น